อินเทอร์เน็ตของร่างกาย (Internet of Bodies : IoB)

เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของร่างกาย  (Internet of Bodies : IoB) เป็นส่วนขยายของโดเมน Internet of Things โดยอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระหว่างกัน ตัวอย่างเช่น สวมใส่ ฝัง กลืน อยู่ภายในและรอบร่างกายมนุษย์ก่อให้เกิดเครือข่าย ดังนั้นเทคโนโลยี IoB สามารถให้บริการและใช้งานได้มากมายสำหรับภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงการแพทย์ ความปลอดภัย ความมั่นคง สุขภาพ ความบันเทิง เป็นต้น เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตด้านสุขภาพและเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่าโควิด-19 (COVID-19) เทคโนโลยี IoB สามารถปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยในปัจจุบันได้ แต่การได้ผลประโยชน์จากเทคโนโลยี IoB ยังคงขึ้นอยู่กับการจัดการกับความเสี่ยง ข้อกังวล และความท้าทายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงต้องสรุปข้อกำหนดของเทคโนโลยี IoB และมาตรฐานการสื่อสารและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในความท้าทายทางเทคนิคที่สำคัญคือ การกำหนดลักษณะพฤติกรรมของการเชื่อมโยงการสื่อสารในและรอบร่างกายมนุษย์

เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เป็นการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่รวมโลกทางกายภาพและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกันโดยการเชื่อมต่อระหว่างวัตถุอัจฉริยะที่สามารถระบุตัวตนได้เทคโนโลยี IoT กำหนดเป้าหมายการเชื่อมต่อที่แพร่หลายระหว่างทุกคนและทุกสิ่งในสถานที่และเวลาใดๆ สำหรับบริการต่างๆ ผ่านเครือข่าย โดยรายงานข้อมูลระหว่างประเทศได้คาดการณ์ว่าอุปกรณ์ IoT ประมาณ 22,000 ล้านชิ้นในปี 2018 คาดว่าจะสูงถึง 41.6 พันล้านในปี 2025 สร้างข้อมูล 79.4 เซ็ตตาไบต์ ตัวเลขและเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นนี้ขับเคลื่อนเทคโนโลยี IoT เป็นแนวโน้มสำคัญเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศในยุคอนาคตในฐานะที่เป็นผู้เริ่มใช้งานแนวทางแบบองค์รวมเพื่อแปลงเป็นดิจิทัลและเชื่อมต่ออุปกรณ์มากมาย โดยเทคโนโลยีโทรคมนาคมและเทคโนโลยีเครือข่ายแบบเดิมทั้งหมดได้อยู่ภายใต้ของเทคโนโลยี IoT ดังนั้นยุคเทคโนโลยี IoT กำหนดกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนไป รวมถึงธุรกิจ อุตสาหกรรม พลังงาน สื่อ การศึกษา สาธารณสุขและความปลอดภัย การขนส่ง และโลจิสติกส์ เทคโนโลยี IoT จัดประเภทเป็น Internet of X-Thing โดย X อาจหมายถึงอวกาศ (space) ใต้ดิน (underground) ใต้น้ำ (underwater) อุตสาหกรรม(industrial) อุปกรณ์สวมใส่ (wearable) การป้องกันและความปลอดภัยสาธารณะ (defense and public health) การแพทย์ (medical) และอื่นๆ

เทคโนโลยี IoB เป็นส่วนเสริมที่ใกล้เข้ามาสู่โดเมน เทคโนโลยี IoT ซึ่งอุปกรณ์เชื่อมต่อที่อยู่ในและรอบร่างกายมนุษย์สร้างเครือข่ายเพื่อเปิดใช้งานมากมาย แม้ว่าเทคโนโลยี IoB รุ่นแรกได้รับแนวคิดในขอบเขตของเครือข่ายบริเวณร่างกายแบบไร้สาย (wireless body area networks : WBANs) แต่การใช้งานที่แพร่หลายในชีวิตประจำวันในปัจจุบันผลจากความก้าวหน้าแบบคู่ขนานของไมโครอิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารไร้สาย และกำลังประมวลผลสัญญาณ อุปกรณ์ IoB สามารถสวมใส่ กลืน ฝังในร่างกาย หรือแม้แต่ฝังเข้าไปในผิวหนัง สมาร์ทวอทช์ แหวนและสายรัดข้อมือสำหรับติดตามฟิตเนส หูฟังไร้สาย แว่นตาแสดงผลแบบสวมศีรษะ ชุดหูฟังเสมือนจริง รอยสักอัจฉริยและแผ่นชีวภาพ และรองเท้าที่ใช้ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก เป็นตัวอย่างของอุปกรณ์ IoB ที่สวมใส่ได้ ยานำส่งข้อมูลแบบดิจิทัลและเซ็นเซอร์ที่เข้าไปทางปากได้ (แคปซูลส่องกล้อง) เป็นตัวอย่างทั่วไปของอุปกรณ์ IoB ที่กลืนได้ เทคโนโลยี IoB แบบฝัง เครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าและเครื่องกระตุ้นหัวใจเป็นกรณีตัวอย่าง อุปกรณ์ IoB แบบฝังสามารถเป็นเพียงชิปที่ฝังไว้ใต้ผิวหนัง เช่น การฉีดไมโครชิปขนาดเมล็ดข้าวขนาดใหญ่เข้าไปในมือเพื่อจุดประสงค์ในการระบุตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์และการอนุญาต ประเภทของโหนด เทคโนโลยี IoB ที่หลากหลายช่วยอำนวยความสะดวกในโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายในและรอบร่างกายมนุษย์ และนำไปสู่ทิศทางสำหรับการใช้เทคโนโลยีประสาทที่ล้ำสมัย เช่น ส่วนต่อประสานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ การประเมินและปรับปรุงความรู้ความเข้าใจ จากภาพแสดงอุปกรณ์ IoB ที่อยู่ในและรอบร่างกายมนุษย์ทำให้สามารถให้บริการมากมายสำหรับภาคส่วนต่างๆ ที่หลากหลาย โดยแต่ละส่วนมีการใช้งานและฟังก์ชัน ในส่วนนี้การดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของมนุษย์ จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษ เนื่องจากการเติบโตของประชากรโลกทำให้เกิดความท้าทายที่สำคัญสามประการ 1) ประชากรที่มีประชากรสูงสุดเป็นคนรุ่นที่เกิดในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1940 – 1960 หรือเบบี้บูมเมอร์ (baby boomers) 2) ประชากรสูงอายุอันเป็นผลมาจากอายุขัยที่เพิ่มขึ้น และ 3) การเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ ประมาณการพื้นฐานในปี ค.ศ. 2019 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศสมาชิกจะสูงถึง 10.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งเป็น 21.3% สูงสุดสำหรับสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจาก 8.8% ในปี ค.ศ. 2015โดยสถิตินี้แสดงเปลี่ยนแปลงอย่างมากไปสู่ระบบการดูแลสุขภาพที่ปรับขนาดได้และราคาย่อมเยาว์ และที่สำคัญผู้คนหลายล้านคนเสียชีวิตจากโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหอบหืด และโรคร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังอื่นอีกมากมายในทุกปี โรคร้ายแรงในปัจจุบันส่วนใหญ่มีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งที่เหมือนกันโดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับการวินิจฉัยโรคเป็นเวลานานหลังจากที่พบอาการเริ่มแรก การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการวินิจฉัยและการตรวจคัดกรองตั้งแต่ต้น สามารถควบคุมหรือแม้แต่ป้องกันโรคเรื้อรังส่วนใหญ่ได้ ดังนั้นเทคโนโลยี IoB จึงสามารถรองรับระบบการดูแลสุขภาพในอนาคตสำหรับการตรวจหาและป้องกันโรคในระยะเริ่มต้น ด้วยเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพเชิงรุก ด้วยการเริ่มใช้งานการติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เทคโนโลยี IoB ยังสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังการผ่าตัดหรือการใช้ยา สถิติทั้งหมดนี้จะต้องได้รับการพิจารณาใหม่ในโลกหลังยุคโควิด-19 ซึ่งเป็นไวรัสทางเดินหายใจที่มีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.  2019 ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2020 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ โควิด-19 เป็นโรคระบาดทั่วโลก รายงานสถานการณ์ขององค์การอนามัยโลกบันทึกผู้ติดเชื้อเกือบ 25 ล้านคนและผู้เสียชีวิตเกือบ 1 ล้านคนภายในวันที่ 1 กันยายน โควิด-19 ปี ค.ศ. 2020 ในส่วนนี้เทคโนโลยี IoB สามารถช่วยต่อสู้กับโรคระบาดได้อย่างดี โดยการตรวจหาผู้ป่วยรายใหม่ตามข้อมูลทางสรีรวิทยาและสัญญาณชีพ การติดตามระยะไกลของผู้ป่วยที่เป็นบวกแต่ไม่แสดงอาการสำหรับการกักกันตนเอง และติดตามผู้ป่วยรายอื่นที่อาจสัมผัสกับผู้ป่วยที่เคยระบุว่าเป็นเชิงบวก การตรวจติดตามสุขภาพด้วย เทคโนโลยี IoB ยังเป็นทางออกในการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อสำหรับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ

ที่มา : https://doi:10.1109/JIOT.2021.3098028

This entry was posted in Blog 101. Bookmark the permalink.